top of page

เหตุผลที่ Site Reliability Engineering (SRE) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรในยุคดิจิทัล


ความสำคัญของความน่าเชื่อถือในบริการดิจิทัล


ในยุคที่ธุรกิจและบริการออนไลน์ต่างพึ่งพาเทคโนโลยี ความน่าเชื่อถือของระบบและบริการเป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรไม่สามารถมองข้ามได้ การหยุดทำงาน (downtime) แม้เพียงเล็กน้อยอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงไม่ว่าจะเป็นการเสียรายได้หรือทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรเสื่อมเสีย Site Reliability Engineering (SRE) จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาความเสถียรและประสิทธิภาพของระบบ


SRE คืออะไร?


SRE เป็นแนวคิดที่ผสานการพัฒนาซอฟต์แวร์และการปฏิบัติการเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีเป้าหมายหลักในการสร้างระบบที่มีความน่าเชื่อถือสูง การนำเทคโนโลยีการตรวจสอบและการทำงานอัตโนมัติมาใช้ ทำให้สามารถลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการระบบที่ซับซ้อน


บทบาทของ SRE ในการจัดการระบบที่ซับซ้อน


Site Reliability Engineering (SRE)  มีหน้าที่สำคัญคือ การสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนานวัตกรรมและการรักษาความน่าเชื่อถือของระบบ ในโลกที่ซอฟต์แวร์ และแอปพลิเคชันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การปฏิบัติงานแบบดั้งเดิมที่เน้นการรับมือกับปัญหาอย่างฉุกเฉินจึงไม่เพียงพออีกต่อไป SRE จึงใช้แนวคิดของ SLA (Service Level Agreement), SLO (Service Level Objective), และ SLI  (Service Level Indicator) เป็นกรอบในการวัดและจัดการประสิทธิภาพและความเสถียรของระบบ


SLA (Service Level Agreement) คืออะไร?


SLA หรือ ข้อตกลงระดับการให้บริการ คือข้อตกลงระหว่างผู้ให้บริการและลูกค้าในการกำหนดมาตรฐานการให้บริการ เช่น การรับประกันว่าเว็บไซต์จะพร้อมให้บริการเป็นเปอร์เซ็นต์ของเวลาทั้งหมด (เช่น 99.9%) ซึ่งเป็นสัญญาว่าผู้ให้บริการจะต้องปฏิบัติตาม


SLO (Service Level Objective) คืออะไร?


SLO หรือ วัตถุประสงค์ระดับการให้บริการ คือเป้าหมายภายในที่องค์กรตั้งขึ้นเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของบริการ ซึ่งมักจะถูกกำหนดให้ต่ำกว่า SLA เล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่ามีพื้นที่สำหรับการทำงานเชิงเทคนิค ตัวอย่างเช่น การตั้งเป้าหมายว่าเว็บไซต์จะพร้อมให้บริการ 99.95% ของเวลา เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือ


SLI (Service Level Indicator) คืออะไร?


SLI หรือ ตัวชี้วัดระดับการให้บริการ คือการวัดเชิงปริมาณที่ใช้วัดประสิทธิภาพของบริการ ตัวอย่างเช่น การวัด uptime ของระบบ การตอบสนองของ API หรือการดาวน์โหลดหน้าเว็บ ซึ่ง SLI จะถูกใช้เพื่อติดตามและตรวจสอบว่าสอดคล้องกับ SLO หรือไม่

 

ทำไม SRE ต้องใช้ SLO, SLA, และ SLI?


1. การวัดผลเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือ


SRE ต้องใช้ตัวชี้วัดที่ชัดเจนเพื่อให้สามารถประเมินประสิทธิภาพของระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือจุดที่ SLI เข้ามามีบทบาท SLI ช่วยวัดตัวชี้วัดสำคัญ เช่น uptime, latency หรือการตอบสนองของ API ที่แสดงผลลัพธ์ของระบบตามที่กำหนด ทำให้ SRE สามารถวิเคราะห์และปรับปรุงระบบได้อย่างต่อเนื่อง

 

2. การตั้งเป้าหมายเพื่อประเมินความสำเร็จ


SLO เป็นเป้าหมายที่ SRE ใช้เพื่อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของบริการที่ระบบควรบรรลุ เช่น เป้าหมายว่าระบบควรพร้อมใช้งาน 99.95% ของเวลา เพื่อประเมินว่าระบบทำงานได้ตามความคาดหวังหรือไม่ หากไม่สามารถบรรลุ SLO ได้ ก็จะต้องหาสาเหตุและแก้ไขปัญหาทันที


3. การทำให้ลูกค้าและทีมพัฒนามีความเข้าใจตรงกัน


SLA เป็นข้อตกลงระหว่างองค์กรกับลูกค้าเพื่อกำหนดความคาดหวังในการให้บริการ ลดความคลาดเคลื่อนในเรื่องของมาตรฐานการให้บริการ เช่น ระยะเวลาที่ระบบจะพร้อมใช้งานหรือเวลาที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา หากไม่มี SLA ลูกค้าอาจคาดหวังสูงเกินไปหรือต่ำเกินไป การมี SLA ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจตรงกัน และทำให้ SRE สามารถทำงานร่วมกับทีมพัฒนาเพื่อรักษาความเสถียรตามที่ตกลงกันไว้


4. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องด้วยข้อมูลที่ชัดเจน


การมี SLI ที่ชัดเจนช่วยให้ SRE สามารถวางแผนปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง และป้องกันการเกิด downtime ได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้บรรลุ SLO และรักษาระดับการให้บริการตาม SLA ได้


ความสัมพันธ์ระหว่าง SLA, SLO และ SLI ใน SRE


SRE ใช้ SLA, SLO, และ SLI เพื่อสร้างการทำงานที่น่าเชื่อถือ โดย:

·       SLI วัดผลการทำงานจริงของระบบ

·       SLO เป็นเป้าหมายภายในที่กำหนดให้การทำงานสอดคล้องกับ SLA

·       SLA เป็นข้อตกลงกับลูกค้าว่าระบบจะมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด


ตัวอย่างการใช้งานจริง


หาก SLA ระบุว่าระบบจะต้องมีความพร้อมใช้งาน 99.9% ของเวลา องค์กรอาจตั้ง SLO ไว้ที่ 99.95% เพื่อให้แน่ใจว่ามีพื้นที่เพียงพอสำหรับการปรับปรุงเทคนิค และ SLI จะใช้เพื่อวัดการพร้อมใช้งานของระบบจริงในช่วงเวลาหนึ่ง หาก SLI ต่ำกว่า SLO ทีม SRE จะต้องหาทางปรับปรุง

 

การนำ LaunchDarkly มาใช้กับ SRE  


LaunchDarkly คืออะไร?


LaunchDarkly เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ฟีเจอร์แฟลก (feature flags) เพื่อช่วยให้ทีมพัฒนาและ SRE สามารถเปิด และปิดฟีเจอร์ต่าง ๆ ของแอปพลิเคชันได้โดยไม่ต้องทำการ deploy ใหม่ ทำให้สามารถลดความเสี่ยงในการเกิด downtime และเพิ่มความยืดหยุ่นในการพัฒนา สำหรับ SRE การรักษาความเสถียรของระบบเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันทีมพัฒนาก็ต้องการที่จะปรับปรุงและเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ๆ อย่างรวดเร็ว นี่เป็นจุดที่ LaunchDarkly เข้ามามีบทบาทหลัก


บทบาทของ LaunchDarkly ใน SRE: การจัดการฟีเจอร์เพื่อความน่าเชื่อถือและความยืดหยุ่น


1. การเปิดฟีเจอร์แบบค่อยเป็นค่อยไป (Progressive Rollouts)


SRE มักใช้การเปิดฟีเจอร์ใหม่แบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ LaunchDarkly ช่วยให้ SRE สามารถเปิดฟีเจอร์ให้ผู้ใช้กลุ่มเล็กก่อนแล้วค่อยขยายต่อไป ซึ่งหากพบปัญหาก็สามารถแก้ไขได้โดยไม่กระทบผู้ใช้ทั้งหมด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด downtime หรือปัญหาใหญ่ที่กระทบระบบ


2. การปิดฟีเจอร์ฉุกเฉิน (Instant Rollbacks)


หนึ่งในความสามารถสำคัญของ LaunchDarkly ช่วยให้สามารถปิดฟีเจอร์ที่มีปัญหาได้ทันที ลดความเสี่ยงที่ระบบจะหยุดทำงานโดยไม่ต้อง deploy ใหม่ ความสามารถนี้ช่วยให้ทีมสามารถแก้ไขปัญหาได้เร็วขึ้น และทำให้การจัดการความเสถียรของระบบเป็นไปได้ง่ายขึ้น


3. การทดสอบในสภาพแวดล้อมการผลิต (Testing in Production)


การทดสอบในสภาพแวดล้อมการผลิตเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่ด้วย LaunchDarkly SRE สามารถทดสอบฟีเจอร์ใหม่ ๆ ในสภาพแวดล้อมจริงได้ โดยเปิดใช้งานเฉพาะกลุ่มผู้ใช้เล็ก ๆ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในวงกว้าง และหากพบปัญหาก็สามารถปิดฟีเจอร์นั้นได้ทันทีโดยไม่ต้องทำการแก้ไขระบบทั้งระบบ ซึ่งทำให้การทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน production มีความปลอดภัยและลดความเสี่ยง


4. การจัดการฟีเจอร์ด้วยข้อมูล SLI


SRE สามารถใช้ข้อมูลจาก SLI เช่น อัตราการตอบสนองของระบบหรือ uptime เพื่อช่วยตัดสินใจว่าควรเปิดหรือปิดฟีเจอร์ใดในช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้สามารถรักษาความเสถียรตาม SLO และ SLA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


5. การทำงานอัตโนมัติ (Automation)


LaunchDarkly สามารถนำไปผนวกเข้ากับการทำงานอัตโนมัติได้ ช่วยให้ SRE สามารถตั้งค่าให้ระบบปิดฟีเจอร์อัตโนมัติเมื่อพบปัญหาใน SLI ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการตอบสนองต่อปัญหาและลดภาระงานของทีม เพื่อหลีกเลี่ยง downtime โดยไม่ต้องรอการแทรกแซงจากมนุษย์


ประโยชน์ของ SRE และ LaunchDarkly สำหรับองค์กร


1. ลดความเสี่ยงในการเกิด downtime

2. เพิ่มความยืดหยุ่นในการพัฒนาและปรับปรุงระบบ

3. ปรับปรุงประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของระบบอย่างต่อเนื่อง

 

สรุป


ในยุคดิจิทัลที่ความเสถียรและประสิทธิภาพของระบบมีความสำคัญต่อการเติบโตขององค์กร การใช้ SRE ร่วมกับ LaunchDarkly เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาและดูแลระบบที่น่าเชื่อถือได้ในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

bottom of page